Home

IMG_20181126_134559312-01.jpeg

วันอาทิตย์ที่ผ่านมา ไปงาน Barcamp Bangkhen มา เคยคุยเรื่องงานนี้กับน้องมุ่ยนานล่ะ ก็ได้น้องเขามาสะกิดว่าเขาจัดแล้ว สนใจก็ลงทะเบียนแล้วไปกัน

ไม่เคยรู้จักงานในรูปแบบนี้สักเท่าไหร่ อ่านรายละเอียดงานคร่าว ๆ ก็เห็นว่าน่ามาฟังสักครั้ง งานที่ให้ใครก็ได้มาพูดเรื่องอะไรก็ได้ ไม่จำกัดประเภท โดยหัวข้อไหนจะได้พูดจะดูจากคะแนนโหวต ถ้าสถานที่พอก็ได้พูดหมดนั่นแหละ จริง ๆ เราก็แอบเตรียมสไลด์ไปด้วย แต่เพราะคิดว่าหัวข้อคงไม่น่าสนใจแล้วขี้เกียจแบกคอมพ์ด้วย ก็เลยไม่ได้เตรียมอะไรไปงานนี้เลย

งานนี้จัดที่ ตึก UIP คณะวิศวะฯ ม.เกษตร ตั้งแต่เช้ายันเย็น ซึ่งเราก็ไปสานฟิลล์ไว้เรียบร้อยเพราะช่วงนี้อยู่ระหว่าง AP x 2 อ่ะ นอกเรื่องไปล่ะ กลับมา ผู้จัดเขาแบ่งช่วงปล่อยให้พูดเป็นสามช่วงคือ เช้า บ่าย และเย็น เราก็ไปฟังเขาพูดตอนเช้า แล้วก็คิดว่าหัวข้อมันซ้ำ ๆ กันนะ ส่วนใหญ่มีแต่พวกเทคโนโลยี Deep Learning, Online Marketing, Content และอืน ๆ จะมีเรื่องอื่นบ้างก็อย่าง รวยได้จาก BNK48 (จำชื่อตรง ๆ ของหัวข้อนี้ไม่ได้ แต่ประมาณนี้) ทำงานภาครัฐกับเอกชนต่างกันอย่างไร (อันนี้เป็นตัวแทนจากภาครัฐมาเอง)  บอลไทย ถาม-ตอบ

จริง ๆ รู้สึกว่างานนี้เหมือนมาหาคนทำงานกลาย ๆ นะ มีพวก head hunter/ recruitment agents มากันพอควร

เราไปนั่งฟัง 2 เรื่อง คือ “ทำงานบริษัทข้ามชาติที่คุมโปรเจค 100 ล้าน” ซึ่งให้พนักงาน ExxonMobil มาพูดประสบการณ์ในการทำงานในเมืองนอก กับ “เมื่อผมไปเข้าลัทธิประหลาด” เรื่องของเด็กเศรษฐศาสตร์ปี 5 ที่ไปทัวร์ราชธานีอโศกที่ จ.อุบลฯ  ฟังไปก็คิดว่า เออ เรื่องแบบนี้เราก็น่าจะพูดได้นะ กายไวเท่าใจคิด วิ่งไปขอใบเสนอหัวข้อสำหรับช่วงบ่ายแล้วเขียนส่งทันที ตอนนั้นนาฬิกาบอกเวลาก่อนเที่ยงไม่เท่าไหร่

ตอนเขียนน่ะไม่ได้คิด แต่ดันมาคิดได้ตอนส่งเสร็จแล้วว่า เฮ้ย! แล้วจะเตรียมตัวยังไง ช่วงบ่ายเริ่มบ่ายตรง มีเวลาไม่ถึงชั่วโมง ระหว่างนั่งดูดน้ำแดงโซดาราคา 13 บาทที่ให้มาเต็มแก้วที่เราเอามาเอง สมองก็ปั่นเนื้อหาที่จะพูด มือก็เรียบเรียงจดลำดับหัวข้อที่จะพูดในสมุดโน๊ตติดตัว รู้สึกเลยว่าร่างกายต้องการน้ำตาลอย่างมาก (ฮา)

ก็ต้องเรียกว่าโชคยังพอมี

หัวข้อที่เสนอไปอาจจะไม่ค่อยโดนใจ คนแปะสติกเกอร์ไม่เยอะมาก เลยได้เริ่มบ่ายครึ่ง เอาว่ะ ยังดี มีเวลาให้เราสรุปเรื่องในหัว ซ้อมพูดสัก 20 นาที สไลด์ไม่มีเพราะด้นสด ผู้จัดเขาให้เวลาในการพูด 25 นาทีต่อรอบ เราก็เลยแบ่งเป็น พูด 15 นาที ให้ถามตอบอีก 10 นาที ก็ครบ 25 นาทีเป็นอันสมบูรณ์

หัวข้อของเรา “Survival Skill ที่ฉันรู้เมื่อตอนแก่”

Institute for Health Metrics and Evaluation ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเขาบอกว่าอายุขัยของคนไทยอยู่ที่ประมาณ 80 ปี เราใช้เวลา 20 ปีแรกที่คิดเป็นหนึ่งในสี่ของชีวิตกับการเรียน ใช้เวลา 20 ปีสุดท้ายกับการเกษียณซึ่งก็อีกหนึ่งในสี่ ชีวิตที่อยู่ระหว่างสองช่วงนี้คือการทำงาน งานกับเราสัมพันธ์กันเกือบครึ่งชีวิต มันเป็นเวลาที่สำคัญ แต่คนกลับพูดเรื่องนี้น้อยมาก เมื่อเทียบกับเรื่องเทคโนโลยีที่มีหัวข้อให้เลือกฟังอย่างมากมาย เราเห็นว่าคนฟังส่วนใหญ่เป็นเด็กมหาวิทยาลัย หรือเพิ่งจบ เริ่มทำงานครั้งแรก พวกเขาควรจะเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับชีวิตการทำงานที่จะยาวนานต่อไปข้างหน้า

ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาเป็นช่วงที่เรียกว่าผกผันแปรเปลี่ยนของชีวิตมาก โดยเฉพาะปีที่ผ่านมา ที่เราต้องรีดเร้นความสามารถทุกด้านเท่าที่มีและเท่าที่รู้เพื่อให้ผ่านพ้นมาได้ ซึ่งก็ดีใจที่ได้ทำ เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ได้เห็นศักยภาพและข้อจำกัดของตัวเองชัดเจนขึ้น ก็อยากบอกเล่าแง่มุมในช่วงนี้ให้คนรุ่นใหม่ ๆ ฟัง เผื่อเขาจะได้มีภูมิต้านทานหรือเตรียมพร้อมรับมือเวลาเกิดเหตุเช่นนั้นบ้าง เราไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนเก่งนะ ออกจะขี้แพ้ด้วยซ้ำ แต่ในโลกปัจจุบันที่นำเสนอแต่ด้านที่หอมหวานสำหรับคนช่างฝัน เราก็ควรจะเติมความขมปร่าลงไปเพื่อให้มันสมดุลย์

ห้านาทีก่อนบ่ายโมงครึ่ง เรามาห้องก่อนเวลา ห้องกำลังโล่งเพราะคนอยู่ระหว่างเดินเข้าออกไปตามห้องที่มีหัวข้อที่เราสนใจ ผลโหวตแบบตะมุตะมิ ทำให้เราไม่คิดว่าจะมีคนมาฟังเท่าไหร่

บ่ายโมงครึ่งตรง เราเริ่มพูด ผิดคาด คนมาฟังแน่นห้อง จากที่คิดว่าคุยไปเล่นไปชิลล์ ๆ ชักจะเริ่มกดดัน เราเริ่มด้วยการแจ้งรายละเอียด คุย 15 นาที ถามตอบ 10 นาที อย่างที่ตั้งไว้ (เราตั้งนาฬิกานับถอยหลัง 15 นาทีด้วย เพื่อคุมเวลา) เราเลือกคุยเกี่ยวกับเรื่องการเตรียมตัวให้พร้อมกับงานใหม่ ๆ ที่ไม่คุ้นเคย, การทำงานให้มีผลงาน, การเสนอไอเดียและทำให้มันเป็นจริง รวมถึงการรับฟังคำวิจารณ์อย่างสร้างสรร เรื่องที่ว่ามาน่าจะพูดให้ครบได้ใน 15 นาที โดยไม่แตะเรื่องเกี่ยวกับคน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า ลูกน้อง การจัดการความขัดแย้ง การเมืองในองค์กร ฯลฯ เรื่องพวกนี้คุยทั้งวันก็ไม่จบ

ก็ดีใจที่พูดเสร็จมีคนถาม เราก็อธิบายให้ อาจจะไม่ใช้คำตอบชัดเจนที่สามารถนำไปแก้ปัญหาได้ทันที แต่ก็หวังพอจะเป็นแนวทางที่จะช่วยแก้ปัญหาหรือบรรเทาความหนักอกหนักใจได้บ้าง หรือบางทีก็อาจจะถือว่าฟังเรื่องพัง ๆ ของคนอื่นก็แล้วกัน

คิดว่าคราวหน้าก็คงไปอีก คราวนี้จะเตรียมหัวข้อไปให้เรียบร้อย 555

 

 

ใส่ความเห็น